นานกิง เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ถึง 10 ราชวงศ์ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยโบราณสถานที่สะท้อนความเป็นมา และความรุ่งเรืองในอดีต มีวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีทั้ง ทะเลสาบ วนอุทยาน และแม่น้ำแยงซี ทำให้นานกิง เป็น 1 ในที่เที่ยวที่นิยมไม่ต่างจาก เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และมีจุดชมวิวที่สำคัญมองเห็นได้อย่างทั่วถึงอย่าง หอไข่มุก มีแหล่งช็อปปิ้งให้เลือกซื้อของฝากมากมาย
“นานกิง”หรือ หนานจิง (Nanjing) ซึ่งหมายถึง “นครหลวงทางใต้” ตั้งอยู่ช่วงกลางไปจนถึงปลายของแม่น้ำแยงซี ในมณฑลเจียงซู หนานจิง ถือเป็นจิ๊กซอชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีน และยังเป็น 1 ใน 6 นครโบราณของจีน อันได้แก่ ปักกิ่ง หนานจิง ซีอาน ลั่วหยาง หางโจว และ ไคเฟิง
ด้วยนานกิงนั้นในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงกลับไปยังปักกิ่ง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยโบราณสถานที่สะท้อนความเป็นมา และความรุ่งเรืองในอดีต ทุกพื้นที่ของเมืองเลยอัดแน่นไปด้วยเรื่องราว ซึ่งล้วนหล่อหลอมให้จีน เป็นชนชาติที่เข้มแข็งแต่แฝงด้วยความนุ่มนวล ทั้งด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เป็นอีกเมืองที่มีความสำคัญในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องราวต่างๆในนานกิงจึงมีความสัญ มีเรื่องราวให้ท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ
หนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของนานกิง แสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ในฐานะเมืองหลวงในช่วงราชวงศ์หมิง ใช้เวลาในการสร้างถึง 21 ปี ใช้แรงงานกว่า 200,000 คน และใช้อิฐถึง 300 ล้านก้อน และมีอายุราว600 ปี ส่วนที่สำคัญของกำแพงเมืองราชวงศ์หมิง คือ มีการสลักตัวอักษรพู่กันจีนไว้บนก้อนอิฐ ซึ่งทำให้กำแพงนี้เป็นที่บันทึกทางประวัติศาสตร์และเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมที่สำคัญของนานกิง
ภาพกำแพงเมืองราชวงศ์หมิงจาก//www.triptaptoe.com
เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมท้องถิ่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1034 และยังเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของนานกิงอีกด้วย
ภาพวัดขงจื๊อจาก//www.travelnanjing.net
1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง สร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยราชวงศ์หมิง ได้ถูกทำลายลงในช่วงเกิดกบฏไท่ผิงในปี ค.ศ.1856 จนเสียหาย กระทั่งในปี ค.ศ. 2010 มีการบูรณะเจดีย์ขึ้นมาอีกครั้งด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย แม้จะมีความแตกต่างจากในสมัยอดีต แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นพยานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับนานกิงมาจนถึงปัจจุบัน
ภาพเจดีย์กระเบื้องเคลือบจาก//www.supermorgy.com
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าแผ่นดินจีนมีขนาดใหญ่มาก ยังมีหลายที่ที่สวยงามและไม่อยู่ในเส้นทางของบริษัททัวร์ทั่วไป คือเราไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันน่าอัศจรรย์เหล่านั้นได้เลยจากการใช้บริการบริษัททัวร์ในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศจีน มีเพียงบริษัทนำเที่ยวไม่กี่แห่งเท่านั้นที่รู้จักเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นและสามารถวางแผนการท่องเที่ยวให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจริงๆเท่านั้น โดยไม่สามารถสร้างโปรแกรมขายทั่วไปตามท้องตลาดได้ เนื่อจากราคาทัวร์จะสูงเกินไปกับการไปสถานที่ๆไม่มีใครรู้จักกันและทำให้หลายคนไม่สนใจถึงแม้ว่าเส้นทางการท่องเที่ยวนี้จะมีประบการณ์ที่ไม่เหมือนการเดินทางที่ผ่านมารอให้เราสัมผัสก็ตาม
วีซ่าท่องเที่ยวสำหรับที่สถานฑูตจีนจะเรียกเป็นประเภท “L” สามารถยื่นขอได้ด้วยตนเองสำหรับท่านที่มีเวลามากพอ โดยเอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าประกอบด้วย (1) หนังสือเดินทางที่เหลืออายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือน (2) แบบฟอร์มการขอวีซ่าจีน (3) รูปถ่าย โดยสามารถดูรายละเอียดของรูปถ่ายได้ที่ (ระเบียบใหม่เรื่องรูปถ่ายการขอวีซ่าจีน 2560) เนื่องจากเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบรูปถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ (4) ใบจองตั๋วเครื่องบินไป – กลับ (5) ใบจองโรงแรมหรือกรณีไปพักกับเพื่อนหรือญาติ จะต้องมีจดหมายเชิญจากผู้ที่อาศัยอยู่ในจีน
สำหรับหลายท่านที่ไม่มีเวลาในการดำเนินการยื่นวีซ่าจีนด้วยตนเอง และให้ตัวกลางอื่นๆเป็นผู้ดำเนินการแทนจะต้องมีใบมอบอำนาจเป็นภาษาอังกฤษพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่มายื่น และสำหรับผู้เดินทางที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมคือ (6) สำเนาสูติบัตร (7) สำเนาบัตรประชาชนพ่อและแม่ โดยในแบบฟอร์มหัวข้อที่ 2 ต้องให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับ
การของวีซ่าจีนสำหรับการท่องเที่ยวจะมีอายุการใช้ 60 วันนับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้าประเทศจีน และสำหรับการเรียนระยะสั้นถ้าหากระยะเวลาไม่เกิน 60 วันก็สามารถใช้วีซ่าประเภทท่องเที่ยวได้เช่นกัน
ประเทศจีนใช้แรงดันไฟฟ้าประมาณ 220 โวลต์ที่ความถี่ 50-60 เฮิร์ต เหมือนบ้านเราเลยทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าว่าจะทำงานได้ไหม (เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้านเราก็มาจากจีนกันทั้งนั้น) ยิ่งกว่านั้นคือเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันออกแบบมาให้รองรับทั้งแรงดันไฟฟ้า 100 โวลต์ถึง 250 โวลต์กันอยู่แล้ว ที่ต้องเป็นห่วงคือเรื่องของปลั๊กไฟ เพราะที่จีนจะมีการใช้เต้ารับหลักๆอยู่ 2 แบบ คือแบบ A (Type A) และแบบ I (Type I) โดยถ้าเป็นแบบ A ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับอุปกรณ์พวกที่ชาร์จแบตไอโฟนหรืออีกหลายญี่ห้อ แต่ก็เห็นอยู่หลายญี่ห้อที่เป็นแบบกลมหรืออะแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คก็ต้องหายากหน่อย ทางที่ดีสำหรับนักเดินทางแล้วก็พก Uniersal Adapter ไว้อุ่นใจกว่าครับ
ภาพปลั๊กแบบต่างๆจาก //gearpatrol.com/2015/02/06/guide-to-plugs-and-sockets-by-country/
ถ้าเราเดินทางไปกับบริษัททัวร์หรือซื้อทัวร์จีน ส่วนใหญ่บริษัททัวร์จะเป็นคนเตรียม Pocke Wifi ไว้ให้เราใช้เป็นกลุ่มอยู่แล้ว (ถ้าเคยไปกับบริษัทไหนแล้วไม่มีก็…) แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวเองหรือต้องการใช้อินเตอร์เน็ตแยกกับคนอื่นก็มีวิธีง่ายๆ 2 วิธี คือเปิด Data Roaming กับซิมที่เราใช้ในประเทศไทยนี่แหละครับ หรือจะเลือกซื้อซิมการ์ดที่จีนใช้งานเลยก็ได้
เริ่มจากโรมมิ่งอันลิมิตก่อนเลย มีสามค่ายยักษ์ใหญ่ในไทยเราสามารถเปิดโรมมิ่งได้ทั้ง AIS DTAC และ TRUE ซึ่งจะมีราคาประมาณ 300 -2200 บาท ตามระยะเวลาการใช้งาน 1 – 7 วัน แล้วแต่เครือข่าย โดยแต่ละเครือข่ายมีรายละเอียดต่างกันลองศึกษาดูจากเว็บไซต์ของเครือข่ายโดยตรงจเป็นข้อมูลปัจจุบันมากกว่า
สำหรับการซื้อซิมการ์ดจากประเทศจีนใช้งาน ต้องเช็คให้ดีว่าโทรศัพท์มือถือของเรารองรับช่วงความถี่ของผู้ให้บริการหรือไม่ จากผู้ให้บริการสามรายใหญ่คือ China Mobile / China Unicom / China Telecom
โดยถ้าเราดูจากตารางเปรียบเทียบความถี่สัญญาณที่รองรับกับโทรศัพท์มือถือบ้านเรามากที่สุดก็น่าจะเป็น China Unicom และเล่าต่อๆกันมาว่า China Unicom มีสัญญาณครอบคลุมเป็นลำดับสองกันเลย ซึ่งจากผู้ที่เคยใช้งานมาก็ถือว่าสัญญาณ 3G/4G อยู่ในระดับที่ดีมาก มีหายไปบางช่วงของทะเลทราย หรือในอุโมงค์ ซึ่งการซื้อนั้นก็ดูจะยุ่งยากมากเพราะหาเกือบทุกร้านจะพูดภาษาจีน หาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ยากมาก และที่สำคัญคือซิมการ์ดที่ซื้อต้องลงทะเบียนด้วย ดังนั้นต้องคุยกับคนขายให้รู้เรื่องกันเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้หลายๆร้านก็ไม่ยอมขายให้คนต่างชาติด้วย ส่วนอัตราค่าริการนั้นสามารถตรวจสองได้จากเว็บไซต์ 310010.com ซึ่งพอเห็นค่าบริการแล้วก็คิดว่าเปิดดาต้าโรมมิงจากไทยแบบอันลิมิตแล้วหารค่าใช้จ่ายกันกับเพื่อนคุ้มกว่าแน่นอนสำหรับคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเหมือนสาดน้ำสงกรานต์อย่างเราๆ