หนานหนิง เมืองที่ได้ชื่อว่า Green City หนานหนิงเป็นเมืองที่มีธรรมชาติค่อนข้างมาก ห้อมร้อมไปด้วยภูเขาเป็นเมืองที่เหมาะกับการพักผ่อน การท่องเที่ยวทางธรรมชาติส่วนใหญ่นิยมที่จะมาพักที่เมืองหนานหนิง ที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องของวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงาม หนานหนิงจึงเป็นเมืองที่มีความสำคัญในด้านการท่องเที่ยวจึงเกิดทัวร์จีนที่หนานหนิงเป็นจำนวนมาก
“หนานหนิง”เป็นเมิองเอกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นเมืองที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 จาก 14 ได้ชื่อว่าเป็นหัวเมืองชั้น 2 ของประเทศ
นครหนานหนิง มีพื้นที่ราว 2.2 หมื่น ตร.กม. (ใหญ่กว่า กทม. 14 เท่า) มีประชากรราว 6.914 ล้าน (ปี 57) แบ่งเป็นการปกครองเป็น 6 เขต 6 อำเภอ
เป็นน้ำตกชายแดนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากน้ำตกไนแองการ่า
ภาพน้ำตกเต๋อเทียนจาก//feel-planet.com
เนื่องจากมีรูปร่างภูเขาหินที่ดูคล้ายกับช้างกำลังยื่นงวงลงไปดูดน้ำ จึงเรียกว่าเขางวงช้าง มีบรรยากาศที่นี่ร่มรื่นสบายเต็มไปด้วยป่าไม้สีเขียวชอุ่มรอบด้าน
ภาพเขางวงช้างจาก//spotlight.it-notes.ru
เป็นถ้ำที่กินบริเวณกว้างใหญ่มีหินงอกหินย้อยรูปทรงหลากหลาย ภายในถ้ำขลุ่ยอ้อนั้นมีการจัดแสดงแสงสีเสียง มีการนำเสนอการเต้นบัลเลต์เพลง Swan Lake บนฉากเหนือบ่อน้ำราวกับมีนักบัลเลต์ตัวจริงแสดงลีลาพริ้วไหวบนพื้นน้ำ
ภาพถ้ำขลุ่ยอ้อจาก//www.reddit.com
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าแผ่นดินจีนมีขนาดใหญ่มาก ยังมีหลายที่ที่สวยงามและไม่อยู่ในเส้นทางของบริษัททัวร์ทั่วไป คือเราไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันน่าอัศจรรย์เหล่านั้นได้เลยจากการใช้บริการบริษัททัวร์ในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศจีน มีเพียงบริษัทนำเที่ยวไม่กี่แห่งเท่านั้นที่รู้จักเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นและสามารถวางแผนการท่องเที่ยวให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจริงๆเท่านั้น โดยไม่สามารถสร้างโปรแกรมขายทั่วไปตามท้องตลาดได้ เนื่อจากราคาทัวร์จะสูงเกินไปกับการไปสถานที่ๆไม่มีใครรู้จักกันและทำให้หลายคนไม่สนใจถึงแม้ว่าเส้นทางการท่องเที่ยวนี้จะมีประบการณ์ที่ไม่เหมือนการเดินทางที่ผ่านมารอให้เราสัมผัสก็ตาม
วีซ่าท่องเที่ยวสำหรับที่สถานฑูตจีนจะเรียกเป็นประเภท “L” สามารถยื่นขอได้ด้วยตนเองสำหรับท่านที่มีเวลามากพอ โดยเอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าประกอบด้วย (1) หนังสือเดินทางที่เหลืออายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือน (2) แบบฟอร์มการขอวีซ่าจีน (3) รูปถ่าย โดยสามารถดูรายละเอียดของรูปถ่ายได้ที่ (ระเบียบใหม่เรื่องรูปถ่ายการขอวีซ่าจีน 2560) เนื่องจากเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบรูปถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ (4) ใบจองตั๋วเครื่องบินไป – กลับ (5) ใบจองโรงแรมหรือกรณีไปพักกับเพื่อนหรือญาติ จะต้องมีจดหมายเชิญจากผู้ที่อาศัยอยู่ในจีน
สำหรับหลายท่านที่ไม่มีเวลาในการดำเนินการยื่นวีซ่าจีนด้วยตนเอง และให้ตัวกลางอื่นๆเป็นผู้ดำเนินการแทนจะต้องมีใบมอบอำนาจเป็นภาษาอังกฤษพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่มายื่น และสำหรับผู้เดินทางที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมคือ (6) สำเนาสูติบัตร (7) สำเนาบัตรประชาชนพ่อและแม่ โดยในแบบฟอร์มหัวข้อที่ 2 ต้องให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับ
การของวีซ่าจีนสำหรับการท่องเที่ยวจะมีอายุการใช้ 60 วันนับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้าประเทศจีน และสำหรับการเรียนระยะสั้นถ้าหากระยะเวลาไม่เกิน 60 วันก็สามารถใช้วีซ่าประเภทท่องเที่ยวได้เช่นกัน
ประเทศจีนใช้แรงดันไฟฟ้าประมาณ 220 โวลต์ที่ความถี่ 50-60 เฮิร์ต เหมือนบ้านเราเลยทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าว่าจะทำงานได้ไหม (เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้านเราก็มาจากจีนกันทั้งนั้น) ยิ่งกว่านั้นคือเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันออกแบบมาให้รองรับทั้งแรงดันไฟฟ้า 100 โวลต์ถึง 250 โวลต์กันอยู่แล้ว ที่ต้องเป็นห่วงคือเรื่องของปลั๊กไฟ เพราะที่จีนจะมีการใช้เต้ารับหลักๆอยู่ 2 แบบ คือแบบ A (Type A) และแบบ I (Type I) โดยถ้าเป็นแบบ A ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับอุปกรณ์พวกที่ชาร์จแบตไอโฟนหรืออีกหลายญี่ห้อ แต่ก็เห็นอยู่หลายญี่ห้อที่เป็นแบบกลมหรืออะแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คก็ต้องหายากหน่อย ทางที่ดีสำหรับนักเดินทางแล้วก็พก Uniersal Adapter ไว้อุ่นใจกว่าครับ
ภาพปลั๊กแบบต่างๆจาก //gearpatrol.com/2015/02/06/guide-to-plugs-and-sockets-by-country/
ถ้าเราเดินทางไปกับบริษัททัวร์หรือซื้อทัวร์จีน ส่วนใหญ่บริษัททัวร์จะเป็นคนเตรียม Pocke Wifi ไว้ให้เราใช้เป็นกลุ่มอยู่แล้ว (ถ้าเคยไปกับบริษัทไหนแล้วไม่มีก็…) แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวเองหรือต้องการใช้อินเตอร์เน็ตแยกกับคนอื่นก็มีวิธีง่ายๆ 2 วิธี คือเปิด Data Roaming กับซิมที่เราใช้ในประเทศไทยนี่แหละครับ หรือจะเลือกซื้อซิมการ์ดที่จีนใช้งานเลยก็ได้
เริ่มจากโรมมิ่งอันลิมิตก่อนเลย มีสามค่ายยักษ์ใหญ่ในไทยเราสามารถเปิดโรมมิ่งได้ทั้ง AIS DTAC และ TRUE ซึ่งจะมีราคาประมาณ 300 -2200 บาท ตามระยะเวลาการใช้งาน 1 – 7 วัน แล้วแต่เครือข่าย โดยแต่ละเครือข่ายมีรายละเอียดต่างกันลองศึกษาดูจากเว็บไซต์ของเครือข่ายโดยตรงจเป็นข้อมูลปัจจุบันมากกว่า
สำหรับการซื้อซิมการ์ดจากประเทศจีนใช้งาน ต้องเช็คให้ดีว่าโทรศัพท์มือถือของเรารองรับช่วงความถี่ของผู้ให้บริการหรือไม่ จากผู้ให้บริการสามรายใหญ่คือ China Mobile / China Unicom / China Telecom
โดยถ้าเราดูจากตารางเปรียบเทียบความถี่สัญญาณที่รองรับกับโทรศัพท์มือถือบ้านเรามากที่สุดก็น่าจะเป็น China Unicom และเล่าต่อๆกันมาว่า China Unicom มีสัญญาณครอบคลุมเป็นลำดับสองกันเลย ซึ่งจากผู้ที่เคยใช้งานมาก็ถือว่าสัญญาณ 3G/4G อยู่ในระดับที่ดีมาก มีหายไปบางช่วงของทะเลทราย หรือในอุโมงค์ ซึ่งการซื้อนั้นก็ดูจะยุ่งยากมากเพราะหาเกือบทุกร้านจะพูดภาษาจีน หาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ยากมาก และที่สำคัญคือซิมการ์ดที่ซื้อต้องลงทะเบียนด้วย ดังนั้นต้องคุยกับคนขายให้รู้เรื่องกันเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้หลายๆร้านก็ไม่ยอมขายให้คนต่างชาติด้วย ส่วนอัตราค่าริการนั้นสามารถตรวจสองได้จากเว็บไซต์ 310010.com ซึ่งพอเห็นค่าบริการแล้วก็คิดว่าเปิดดาต้าโรมมิงจากไทยแบบอันลิมิตแล้วหารค่าใช้จ่ายกันกับเพื่อนคุ้มกว่าแน่นอนสำหรับคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเหมือนสาดน้ำสงกรานต์อย่างเราๆ