เสิ่นหยาง (沈阳) เป็นเมืองหลวงของมณฑลเหลียวหนิง เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชธานีของอาณาจักรโฮ่วจินหรือราชวงศ์ชิงก่อนที่จะย้ายมายังปักกิ่ง ปัจจุบันเสิ่นหยางเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญ ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีธรรมชาติมากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เมืองเสิ่นหยางจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายการมาทัวร์จีนของเหล่านักท่องเที่ยวยทั่วโลก
“เสิ่นหยาง”เมืองแห่งประวัติศาสตร์ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีสาธารณูปโภค การคมนาคม อาหาร ที่ครบครัน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลเหลียวหนิง อยู่ทางเหนือของมหานครปักกิ่งใกล้กับชายแดนประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งเมื่อเดินทางมาที่เสิ่นหยางจะสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ได้อย่างเช่น เมืองท่าต้าเหลียน หรือไม่ก็เมืองฮาร์บินที่มีเทศกาลหิมะซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินทางจากทั่วโลก
มีความต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวที่เสิ่นหยางจากนักเดินทางทั่วโลกรวมถึงนักเดินทางชาวไทยด้วย ซึ่งการมาทัวร์จีนที่เมืองเสิ่นหยางในปัจจุบันก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นมาก เนื่องจากมีสายการบินที่บินตรงจากไทยมายังเสิ่นหยาง ทำให้แค่ไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็สามารถอยู่ที่ดินแดนประวัติศาสตร์เสิ่นหยางแห่งนี้ได้แล้ว
อากาศดีในที่นี้หมายถึงฝนไม่ค่อยตกทำให้สะดวกในการเดินทางมาท่องเที่ยว เพราะว่าเมืองเสิ่นหยางอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือทำให้มีสภาพอากาศแห้งฤดูร้อนอากาศสบายกำลังดี ส่วนฤดูหนาวก็หนาวจับใจถึงขั้นอุณหภูมิติดลบกันเลย ซึ่งช่วงที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวที่เสิ่นหยางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเราก็จะเป็นช่วงเดือน เมษายน-ตุลาคม โดยช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กำลังสวยงวม และอากาศไม่หนาวจนเกินไป
ประวัติศาสตร์เมืองเสิ่นหยางเท่าที่เคยมีบันทึกมา คือเมืองราชธานีของอาณาจักรโฮ่วจิน หรือที่เราคุ้นเคยในชื่อ “ราชวงศ์ชิง” ก่อนที่ประเทศจีนจะมีปักกิ่งเป็นเมืองหลวง ทำให้ที่เสิ่นหยางมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายอย่างเช่น สุสานและหลุมฝังศพกษัตริย์มากมายในอุทยานเป่ยหลิง หรือจะเป็น “พระราชวังกู้กงเสิ่นหยาง” ที่เป็นแบบเดียวกันกับพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งก็มีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสที่เสิ่นหยาง
ในแต่ละฤดู ความงามของธรรมชาติที่เสิ่นหยางก็จะแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ที่เสิ่นหยางยังมีสวนพฤกษานานาชาติที่รวมพืชชนิดต่างๆ มากมายเอาไว้ ซึ่งเมื่อถึงฤดูที่หมู่ไม้แบ่งบานที่สวนพฤกษานานาชาติแห่งนี้ก็จะละลานตาให้เหล่านักเดินทางยากที่จะลืมเมืองเสิ่นหยางได้ลง
สำหรับนักท่องเที่ยวที่แบ็คแพ็คมาที่เสิ่นหยางไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักเลย เพราะว่าที่เสิ่นหยางมีที่พักให้เลือกมากมาย ตั้งแต่โรงแรมระดับห้าดาวไปจนถูกโฮสต์เทลราคาประหยัดให้เลือกมากมาย นอกจากโรงแรมและโฮสต์เทลแล้ว ที่พักในเสิ่นหยางยังมีหอพักตามมหาวิทยาลัยไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
มีอาหารจีนเลิศรสมากมายให้นักท่องเที่ยวที่มาเสิ่นหยางได้เลือกรับประทานกัน แต่เมื่อมาที่เสิ่นหยางกันแล้ว ก็อย่ามองข้ามอาหารพื้นถิ่นของเสิ่นหยางไป อย่างเช่น เกี๊ยวเหลาเปียน พายเนื้อสูตรเมืองไห่เฉิง และอื่นๆอีกมากมาย
ถึงแม้จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวสายช้อปสามารถใช้ชีวิตในเมืองนี้ได้ โดยเฉพาะการเดินช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินไท่หยวนเจียที่ได้รวบรวมสินค้ามากมายไว้รอเหล่านักล่าได้มาหยิบติดมือกลับไป
เนื่องจากเมืองเสิ่นหยางแห่งนี้เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้เลยก็ต้องเป็นสถานที่ต่างๆ ที่บันทึกร่องรอยของเวลานับพันปีเอาไว้ พร้อมกับธรรมชาติในฤดูต่างๆ ที่มีไว้ให้นักเดินทางได้เลือกชมในทุกฤดูกับพื้นที่กว่าหนึ่งหมื่นสองพันตารางกิโลเมตรของเมืองประวัติศาสตร์เสิ่นหยางแห่งนี้
พระราชวังกู้กงเสิ่นหยาง (沈阳故宫) ว่ากันว่าเป็นพระราขวังแห่งแรกที่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์ชิง สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2168 ซึ่งในปัจจุบันพระราชวังกู้กงเสิ่นหยางแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2530 เมื่อนานมาแล้ว
สวนพฤกษชาติประจำเมืองเสิ่นหยางแห่งนี้ สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2502 โดยครั้งหนึ่งเป็นสถานที่จัดงานพืชสวนโลกซึ่งมีพืชพรรณมากกว่า 1,700 ชนิดรวมอยู่ในสวนพฤกษชาติแห่งนี้ และนอกจากพรรณไม้กว่า 1,700 ชนิดแล้วยังมีลุ่มเขา ทะเลสาบ น้ำตก เนินพิศวงที่รถสามารถไหลขึ้นเนินเองได้อีกด้วย
บนถนนคนเดินไท่หยวนเจีย (Shenyang Taiyuan Shopping Street) แห่งนี้ เป็นย่านช้อปปิ้งใจกลางเมืองเสิ่นหยาง ทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ขนม อาหาร เครื่องประดับ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงของฝากต่างๆ ก็สามารถหาซื้อได้บนถนนไท่หยวนเจียแห่งนี้
อย่างที่เคยบอกไว้ว่าแผ่นดินจีนมีขนาดใหญ่มาก ยังมีหลายที่ที่สวยงามและไม่อยู่ในเส้นทางของบริษัททัวร์ทั่วไป คือเราไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันน่าอัศจรรย์เหล่านั้นได้เลยจากการใช้บริการบริษัททัวร์ในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศจีน มีเพียงบริษัทนำเที่ยวไม่กี่แห่งเท่านั้นที่รู้จักเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นและสามารถวางแผนการท่องเที่ยวให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจริงๆเท่านั้น โดยไม่สามารถสร้างโปรแกรมขายทั่วไปตามท้องตลาดได้ เนื่อจากราคาทัวร์จะสูงเกินไปกับการไปสถานที่ๆไม่มีใครรู้จักกันและทำให้หลายคนไม่สนใจถึงแม้ว่าเส้นทางการท่องเที่ยวนี้จะมีประบการณ์ที่ไม่เหมือนการเดินทางที่ผ่านมารอให้เราสัมผัสก็ตาม
วีซ่าท่องเที่ยวสำหรับที่สถานฑูตจีนจะเรียกเป็นประเภท “L” สามารถยื่นขอได้ด้วยตนเองสำหรับท่านที่มีเวลามากพอ โดยเอกสารที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าประกอบด้วย (1) หนังสือเดินทางที่เหลืออายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือน (2) แบบฟอร์มการขอวีซ่าจีน (3) รูปถ่าย โดยสามารถดูรายละเอียดของรูปถ่ายได้ที่ (ระเบียบใหม่เรื่องรูปถ่ายการขอวีซ่าจีน 2560) เนื่องจากเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบรูปถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ (4) ใบจองตั๋วเครื่องบินไป – กลับ (5) ใบจองโรงแรมหรือกรณีไปพักกับเพื่อนหรือญาติ จะต้องมีจดหมายเชิญจากผู้ที่อาศัยอยู่ในจีน
สำหรับหลายท่านที่ไม่มีเวลาในการดำเนินการยื่นวีซ่าจีนด้วยตนเอง และให้ตัวกลางอื่นๆเป็นผู้ดำเนินการแทนจะต้องมีใบมอบอำนาจเป็นภาษาอังกฤษพร้อมสำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่มายื่น และสำหรับผู้เดินทางที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมคือ (6) สำเนาสูติบัตร (7) สำเนาบัตรประชาชนพ่อและแม่ โดยในแบบฟอร์มหัวข้อที่ 2 ต้องให้พ่อแม่เซ็นชื่อกำกับ
การของวีซ่าจีนสำหรับการท่องเที่ยวจะมีอายุการใช้ 60 วันนับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้าประเทศจีน และสำหรับการเรียนระยะสั้นถ้าหากระยะเวลาไม่เกิน 60 วันก็สามารถใช้วีซ่าประเภทท่องเที่ยวได้เช่นกัน
ประเทศจีนใช้แรงดันไฟฟ้าประมาณ 220 โวลต์ที่ความถี่ 50-60 เฮิร์ต เหมือนบ้านเราเลยทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าว่าจะทำงานได้ไหม (เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้านเราก็มาจากจีนกันทั้งนั้น) ยิ่งกว่านั้นคือเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันออกแบบมาให้รองรับทั้งแรงดันไฟฟ้า 100 โวลต์ถึง 250 โวลต์กันอยู่แล้ว ที่ต้องเป็นห่วงคือเรื่องของปลั๊กไฟ เพราะที่จีนจะมีการใช้เต้ารับหลักๆอยู่ 2 แบบ คือแบบ A (Type A) และแบบ I (Type I) โดยถ้าเป็นแบบ A ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับอุปกรณ์พวกที่ชาร์จแบตไอโฟนหรืออีกหลายญี่ห้อ แต่ก็เห็นอยู่หลายญี่ห้อที่เป็นแบบกลมหรืออะแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คก็ต้องหายากหน่อย ทางที่ดีสำหรับนักเดินทางแล้วก็พก Uniersal Adapter ไว้อุ่นใจกว่าครับ
ภาพปลั๊กแบบต่างๆจาก //gearpatrol.com/2015/02/06/guide-to-plugs-and-sockets-by-country/
ถ้าเราเดินทางไปกับบริษัททัวร์หรือซื้อทัวร์จีน ส่วนใหญ่บริษัททัวร์จะเป็นคนเตรียม Pocke Wifi ไว้ให้เราใช้เป็นกลุ่มอยู่แล้ว (ถ้าเคยไปกับบริษัทไหนแล้วไม่มีก็…) แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวเองหรือต้องการใช้อินเตอร์เน็ตแยกกับคนอื่นก็มีวิธีง่ายๆ 2 วิธี คือเปิด Data Roaming กับซิมที่เราใช้ในประเทศไทยนี่แหละครับ หรือจะเลือกซื้อซิมการ์ดที่จีนใช้งานเลยก็ได้
เริ่มจากโรมมิ่งอันลิมิตก่อนเลย มีสามค่ายยักษ์ใหญ่ในไทยเราสามารถเปิดโรมมิ่งได้ทั้ง AIS DTAC และ TRUE ซึ่งจะมีราคาประมาณ 300 -2200 บาท ตามระยะเวลาการใช้งาน 1 – 7 วัน แล้วแต่เครือข่าย โดยแต่ละเครือข่ายมีรายละเอียดต่างกันลองศึกษาดูจากเว็บไซต์ของเครือข่ายโดยตรงจเป็นข้อมูลปัจจุบันมากกว่า
สำหรับการซื้อซิมการ์ดจากประเทศจีนใช้งาน ต้องเช็คให้ดีว่าโทรศัพท์มือถือของเรารองรับช่วงความถี่ของผู้ให้บริการหรือไม่ จากผู้ให้บริการสามรายใหญ่คือ China Mobile / China Unicom / China Telecom
โดยถ้าเราดูจากตารางเปรียบเทียบความถี่สัญญาณที่รองรับกับโทรศัพท์มือถือบ้านเรามากที่สุดก็น่าจะเป็น China Unicom และเล่าต่อๆกันมาว่า China Unicom มีสัญญาณครอบคลุมเป็นลำดับสองกันเลย ซึ่งจากผู้ที่เคยใช้งานมาก็ถือว่าสัญญาณ 3G/4G อยู่ในระดับที่ดีมาก มีหายไปบางช่วงของทะเลทราย หรือในอุโมงค์ ซึ่งการซื้อนั้นก็ดูจะยุ่งยากมากเพราะหาเกือบทุกร้านจะพูดภาษาจีน หาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ยากมาก และที่สำคัญคือซิมการ์ดที่ซื้อต้องลงทะเบียนด้วย ดังนั้นต้องคุยกับคนขายให้รู้เรื่องกันเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้หลายๆร้านก็ไม่ยอมขายให้คนต่างชาติด้วย ส่วนอัตราค่าริการนั้นสามารถตรวจสองได้จากเว็บไซต์ 310010.com ซึ่งพอเห็นค่าบริการแล้วก็คิดว่าเปิดดาต้าโรมมิงจากไทยแบบอันลิมิตแล้วหารค่าใช้จ่ายกันกับเพื่อนคุ้มกว่าแน่นอนสำหรับคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเหมือนสาดน้ำสงกรานต์อย่างเราๆ