ประเทศญี่ปุ่นหรือที่ถูกขนานนามในชื่อของแดนอาทิตย์อุทัย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความละเมียดเกือบทุกตารางเมตรตั้งแต่ยอดตึกยันท่อระบายน้ำ ซึ่งความใส่ใจในทุกๆรายละเอียดนี้อาจจะเป็นหนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดให้เหล่านักเดินทางจากทั่วโลก กระทั่งเกิดโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่นมากมาย ทั้งที่มากับบริษัททัวร์ญี่ปุ่นก็มากหรือแม้แต่กลุ่มทัวร์ญี่ปุ่นที่เหล่านักเดินทางวางแผนโปรแกรมท่องเที่ยวกันขึ้นมาเองก็มากมาย เพื่อเข้ามาเยือนดินแดนนักรบซามูไรแห่งนี้ตลอดทั้งปีสำหรับเติมเต็มทุกๆสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม แฟชั่น เทคโนโลยี ดนตรี และที่ขาดไม่ได้ก็เรื่องอาหารญี่ปุ่นที่แพร่สาขาหลากหลายไปทั่วโลก
“ดินแดนอาทิตย์อุทัย”ชื่อนี้มีที่มาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ทางตะวันออกสุดของโลก ซึ่งแสงอาทิตย์แรกของวันบนโลกจะสาดลงมาบนแผ่นดินญี่ปุ่นเป็นที่แรกถ้าไม่นับพื้นน้ำ ลักษณะของพื้นที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีลักษณะเป็นเกาะหลักๆ 4 เกาะ คือเกาะฮอกไกโด(Hokkaido) เกาะฮอนชู (Honshu) เกาะชิโกกุ (Shikoku) และเกาะคิวชู (Kyushu) นอกจากนี้ยังมีเกาะเล็กเกาะน้อยรวมกันมากกว่า 6,800 เกาะ พื้นที่รวมกันประมาณ 378,000 ตารางกิโลเมตร (ประมาณนะครับ) แต่มีพื้นที่ราบแค่ 25% นอกนั้นเป็นภูเขา โดยประเทศญี่ปุ่นมีโตเกียวเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่พุทธศักราช 2411 ซึ่งโตเกียวตั้งอยู่บนส่วนของเกาะฮอนชู
อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดและอากาศค่อนข้างดีตลอดทั้งปีถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนก็จะเป็นดูร้อนที่เย็นสบาย(อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 22 องศาเซลเซียส) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเกาะฮอนชู ซึ่งสถานที่ๆน่าจะเป็นที่คุ้นหูกันดีบนเกาะฮอกไกโดน่าจะเป็น “ซับโปโร” ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนฮอกไกโด จะเรียกว่าเป็นเหมืองหลวงของฮอกไกโดเลยก็ว่าได้
เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครอบคลุมที่ตั้งของเมืองสำคัญต่างๆในประเทศรวมถึงเมืองหลวงอย่างโตเกียว (Tokyo) ด้วย
เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในหมู่เกาะหลักทั้งสี่ โดยมีพื้นที่ประมาณ 19,000 ตารางกิโลเมตร แต่เกาะขนาดเล็กแห่งนี้ถึงจะมีขนาดเล็กแต่ก็มีความสวยงามและถูกรักษาบรรยากาศแบบธรรมชาติไว้ได้อย่างดี
น่าร้อนจะร้อนมากสำหรับพื้นที่บนเกาะคิวชูแห่งนี้ และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่สามของประเทศญี่ปุ่น สภาพอากาศโดยรวมมีอากาศค่อนข้างดีตลอดทั้งปี ยกเว้นในช่วงหน้าร้อน
อากาศในแต่ละท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่นจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากลักษณะพื้นที่ของประเทศทอดตัวเป็นแนวยาวเหนือ-ใต้ ทำให้มีลักษณะอากาศตั้งแต่หนาวถึงร้อนในประเทศเดียวกันที่ช่วงเวลาเดียวกัน โดยทางเหนือของประเทศญี่ปุ่นคือเกาะฮอกไกโด จะมีสภาพอากาศหนาวจัดเกือบทั้งปี มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ในขณะที่ทางใต้อย่างเกาะคิวชูและโอกินาวาจะมีสภาพอากาศแบบเมืองร้อน และฝนตกชุกในฤดูฝน โดยถ้าแบ่งฤดูตามแบบสากล ประเทศญี่ปุ่นจะแบ่งเป็น 4 ฤดูกาล
ฤดูใบไม้ร่วงของประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูที่หลายคนบอกว่าโรแมนติกสุดๆ พื้นดินของประเทศญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวสีแดงค่อยๆร่วงหล่นไปทั่ว นอกจากนี้ยังเป็นช่วงของการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนอีกด้วย ในฤดูใไม้ร่วงนี้จะมีหนึ่งวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงยาวนานที่สุดเรียกว่า Geshi
ญี่ปุ่นฤดูหนาวจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงฤดูหนาวนี้ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นอย่าง ฮอกไกโด โตโฮกุ อากาศจะหนาวเย็นมากและมีหิมะตกหนักมาก ซึ่งในฤดูนี้มีเทศกาลที่มีความสำคัญคือ “ปีใหม่” ทำเนียมเทศกาลของประเทศญี่ปุ่นจะมีการฉลองภายในครอบครัวด้วยบะหมี่เรียกเทศกาลนี้ว่า “บะหมี่ข้ามปี” (Toshikoshi soba | ถือกันว่าบะหมี่นี้แทนความมีอายุยืนเพราะมีลักษณะเป็นเส้นยาว) และรอคอยฟังเสียงระฆังต้อนรับปีใหม่ ผู้ที่ตีระฆังนี้คือพระและจะตีทั้งหมด 108 ครั้ง เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่า คนเราจะมีสิ่งไม่ดีอยู่ 108 อย่าง โดยเริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อตีครบจำนวนจะเท่ากับว่า เราจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับสิ่งที่ดีๆ
ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นในเดือนมีนาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเวลาแห่งความสดชื่นเบิกบาน ดอกไม้เริ่มผลิแย้ม ใบไม้สีเขียวขจีแตกยอดชูไสว ลมเอื่อย ๆ เริ่มพัดพาเอากลิ่นไอแห่งธรรมชาติ สีสันแห่งชีวิตเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นฤดูที่น่าเที่ยวมากที่สุด เริ่มจากต้นพลัมบานเป็นทิวด้วยสีสัน จากนั้นต้นท้อก็จะบาน ประมาณปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนอันเป็นเดือนที่ดอกซากุระบานสะพรั่งทุกแห่งหน จะถูกปกคลุมไป ด้วยสีชมพู และขาว ชาวญี่ปุ่นจะพากันเอาเสื่อมาปูใต้ต้นซากุระ และจิบสาเกพลางชื่นชมความงามของซากุระ เป็นภาพที่ติดตรึง อยู่ ในความทรงจำและประทับใจท่านตลอดไป โดยเฉพาะสวนซากุระที่ ศาลเจ้าเฮย์อันร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนซากุระที่สวยที่ สุดในโลก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ซากุระนี้จะบานอยู่เพียง 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะโรย เปิดทางให้แก่ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิอื่น ๆ เช่น ดอกฟูจิ อุณหภูมิประมาณ 12-16 องศาเซลเซียส
ทุกๆช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นฤดูร้อน ซึ่งก่อนหน้านี้จะฝนตกอยู่ประมาณ 5 สัปดาห์ ทำให้ซากุระทั้งหมดร่วง ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของฤดูการปลูกข้าวของชาวนา อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ฤดูนี้จะเป็นฤดูแห่งความสนุกสนาน เพราะเป็นช่วงที่มีเทศลากประจำปีต่างๆ มากมายรวมทั้งการเฉลิมฉลองต่างๆ เป็นช่วงแห่งการท่องเที่ยว และตากอากาศตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะตามสถานที่ตากอากาศ แถบชายทะเล และ ภูเขาเป็นฤดูที่มีอากาศดี ท้องฟ้าสีครามสดใส เหมาะแก่การถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่โปรดปรานผลไม้ ในฤดูนี้จะมีผลไม้มากมายให้ท่านลองลิ้มชิมรส นับเป็นฤดูที่น่าท่องเที่ยวมากไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิ
สถานที่ท่องเที่ยวทั่วแดนอาทิตย์อุทัยในที่นี้เราจะยกตัวอย่างสถานที่ที่น่าสนใจมาโดยคร่าวๆ และแน่นอนย่อมเป็นสถานที่สุดฮิตสำหรับทุกคน
เป็นศาลเจ้าที่สำคัญสำหรับชาวญี่ปุ่น (ชาวญี่ปุ่นนับถือเทพเจ้าเป็นอย่างมาก) ที่นี่มีประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดง เรียงตัวข้างหลังศาลเจ้าหลายหมื่นต้น ที่ตั้ง: เมืองเกียวโต(Kyoto) ภูมิภาค คันไซ(Kansai)
ภาพศาลเจ้าจิ้งจอกแดงจาก //wanderandblossom.com/2014/07/fushimi-inari-shrine-kyoto.html
เป็นหมู่บ้านที่ได้ขึ้นเป็นมรดกโลก ( UNESCO ) ลักษณะของหลังคาในแต่ละบ้านเป็นหลังคาโบราณแบบญี่ปุ่น จะมีความสวยงามที่สะท้อนถึงวัฒณธรรมโบราณของญี่ปุ่นได้อย่างสวยงาม และยังมีบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทั้ง 4 อาทิเช่น ในฤดูหนาว จะมีงานเทศกาลเปิดไฟส่องที่บ้านแต่ละหลัง ทำให้สวยงามยิ่งขึ้น ที่ตั้ง: เมืองโทยาม่า(Toyama) ภูมิภาคชุบุ(Chubu)
ภาพหมู่บ้านหลังคาโบราณจาก //travel.gaijinpot.com/shirakawa-go-and-gokayama/
วัดคืโยะมิซุหรือวัดน้ำใสเป็นวัดที่ได้ขึ้นมรดกโลก ( UNESCO ) มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองโตเกียว มีอาคารไม้ขนาดใหญ่สร้างอยู่ริมภูเขาสูงจากพื้นดิน 13 เมตร เป็นการสร้างโดยที่ไม่ใช้ตะปูในการสร้าง มีระเบียงที่ยื่นออกไปทำให้เห็นวิวเมืองโตเกียวชัดเจน ที่ตั้ง: เมืองเกียวโต(Kyoto) ภูมิภาคคันไซ(Kansai
ภาพวัดคิโยะมิซุจาก //www.discoverkyoto.com/places-go/kiyomizu-dera/
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ไม่ว่าจะเดินทางไปกับทัวร์ญี่ปุ่นหรือไปเองก็ตาม ไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้าแล้วสำหรับการเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน สามารถใช้หนังสือเดินทางประเทศไทยผ่านเข้าประเทศได้เลย โดยสิทธิ์วีซ่านักท่องเที่ยวญี่ปุ่นสำหรับประเทศไทยจะมีอายุ 15 วัน ซึ่งก็เต็มเหนี่ยวมากสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นในหนึ่งทริปการเดินทาง แต่สำหรับท่านที่ต้องการวีซ่าประเภทอื่น สามารถตรวจสอบรายละเอียดที่เป็นปัจจุบันได้ที่เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย www.th.emb-japan.go.jp
ประเทศญี่ปุ่นใช้แรงดันไฟฟ้าประมาณ 100 โวลต์ที่ความถี่ 50-60 เฮิร์ต แต่ประเทศไทยบ้านเราดันใช้ระบบไฟฟ้าแรงดันประมาณ 220 โวลต์(แต่ความถี่อยู่ที่ 50-60 เฮิร์ต เหมือนกัน) ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลไปว่าจะไม่สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำมาจากประเทศไทยไม่ได้ เพราะว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันออกแบบมาให้สามารถทำงานได้ตั้งแต่แรงดันไฟฟ้า 100 – 250 โวลต์กันอยู่แล้ว ที่ต้องสนใจเป็นพิเศษอาจจะต้องสนใจปลั๊กที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเกือบทั้งหมดจะเป็นแบบ A (Type A) คือเป็นแบสองขาแบนไม่มีกราวด์ถ้าเป็นที่ชาร์จแบตมือถือส่วนใหญ่ในไทยก็ฉลุยเลย แต่สำหรับอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊คคงต้องพก Uniersal Adapter ไว้อุ่นใจกว่าครับ
ภาพปลั๊กแบบต่างๆจาก //gearpatrol.com/2015/02/06/guide-to-plugs-and-sockets-by-country/
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าญี่ปุ่นมีไวไฟฟรีให้ใช้เยอะมากเลยครับตามเมืองใหญ่ๆหรือโรงแรมส่วนใหญ่ ถ้าเป็นที่สนามบินก็เร็วมากซะด้วย แต่ถ้าเป็นตามเมืองก็ช้าเอามากโดยเฉพาะถ้าขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินนี่แทบใช้งานไม่ได้ ทำให้บริษัททัวร์ทั้งหลายรวมถึงทัวร์ญี่ปุ่นเองส่วนใหญ่ก็จะยังเตรียม Pocket Wifi ไว้ให้กับลูกค้าอยู่ดี แต่สำหรับหลายๆท่านที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวญี่ป่นด้วยตนเองหรือต้องการใช้งานอินเตอร์เน็ตแยกกับคนอื่นสำหรับทริปท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ก็มีทางเลือกคือ
เปิดโรมมิ่งซื้อแพคเกจไม่จำกัดจากไทยไปใช้งานเลย ค่ายยักษ์ทั้งสามผู้ให้บริการทั้ง AIS DTAC และ TRUE ซึ่งจะมีราคาประมาณ 250 -2600 บาท ตามระยะเวลาการใช้งาน 1 – 7 วัน แล้วแต่เครือข่าย โดยแต่ละเครือข่ายมีรายละเอียดต่างกันลองศึกษาดูจากเว็บไซต์ของเครือข่ายโดยตรงจเป็นข้อมูลปัจจุบันมากกว่า
ซื้อซิมการ์ดญี่ปุ่นมาใช้งานเป็นอีกวิธีที่จะใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ โดยส่วนใหญ่คนไทยเราจะใช้บริการจาก bmobile ซึ่งเป็นซิมการ์ดจาก Docomo และมีให้ใช้งานซิมการ์ดถึง 2 แบบ คือ แบบ PAYG SIM และแบบ VISITOR SIM สำหรับ PAYG SIM จะเป็นซิมการ์ดแบบลงทะเบียน จะสามารถเลือกใช้งานได้ในระยะเวลา 7 วัน และ 14 วัน ซึ่ง PAYG SIM ในระยะเวลา 7 วัน จะสามารถใช้โทรออก-รับสาย และส่ง SMS ได้รวมไปถึงใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G และ 3G ได้สูงสุด 3 GB โดยจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 9,980 เยน (ประมาณ2,700 บาท) ส่วนแบบ 14 วัน จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สูงสุด 3 GB เพียงอย่างเดียว และมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 4,990 เยน (ประมาณ 1,350 บาท) ส่วน VISITOR SIM นั้นไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนซิมการ์ดให้เลย ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ 2 แบบ คือ แบบใช้งานอินเทอร์เน็ต 1 GB โดยไม่กำหนดระยะเวลา และแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระยะเวลา 14 วัน โดยสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 4G/3G แบบไม่จำกัด แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตแค่ 300 Kbps เท่านั้น โดย VISITOR SIM ทั้ง 2 แบบ จะมีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 3,686 เยน (ประมาณ 1,000 บาท)